Translate

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปฏิกิริยาเคมี ม.2

ปฏิกิริยาเคมี
  คือ การที่สารตั้งต้นเปลี่ยนไปเป็นสารผลิตภัณฑ์(สารใหม่) ซึ่งมีสมบัติต่างไปจากสารเดิม เมื่อเวลาผ่านไปปริมาณของสารตั้งต้นจะลดลง ปริมาณสารใหม่จะเพิ่มขึ้น
 ประเภทของปฏิกิริยาเคมี   แบ่งตามการถ่ายเทพลังงาน
1. ปฏิกิริยาดูดพลังงาน
   สารตั้งต้น + พลังงาน = ผลิตภัณฑ์
2. ปฏิกิริยาคายความร้อน
   สารตั้งต้น = ผลิตภัณฑ์ + พลังงาน

ข้อสังเกตในการดูว่ามีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้น 
1. มีตะกอนเกิดขึ้น
2. มีแก๊สเกิดขึ้น
3. มีสีเปลี่ยนแปลง
4. มีกลิ่น
5. มีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลง ซึ่งสารโดยทั่วไปเมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อนควบคู่ไปด้วยเสมอ

หมายเหตุ   การเปลี่ยนแปลงต่อไปนี้เกิดปฏิกิริยาเคมีแน่นอน
                 1. ถ้ามีการสันดาป หมายถึง มีการทำปฏิกิริยาเคมีกับออกวิเจนเป็นปฏิกิริยาเคมี                         เสมอ
                 2. ถ้าเป็นการหมัก เป็นปฏิกิริยาเคมีเสมอ
                 3. ถ้าเป็นกระบวนการเมตาโบลิซึม(ปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิต) เช่น ผลไม้สุก                              เนื้อเน่า
                 4. การถลุงแร่ แบตเตอรี่ การเกิดสนิม

อัตราการเกิดปฏิกิริยา
         อัตราการเกิดปฏิริยา บางปฏิกิริยาเกิดได้เร็ว บางปฏิกิริยาเกิดได้ช้าทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
                1. ชนิดของสารตั้งต้น
                2. ความเข้มข้นของสารตั้งต้น
                3. พื้นที่ผิวของสารตั้งต้น
                4. อุณหภูมิ
                5. ตัวเร่งปฏิกิริยา และตัวหน่วงปฏิกิริยา

1.ชนิดของสารตั้งต้น
  - สารตั้งต้นที่เกาะกันแข็งแรง หรือมีพันธะโคเวเลนต์ที่แข็งแรง จะเิกดปฏิกิริยายากกว่าสารตั้งต้นที่เป็นสารอิออนิกทั้งคู่
  - สารตั้งต้นที่เป็นแก๊สทั้งคู่ จะทำปฏิกิริยาได้เร็วกว่าสารตั้งต้นที่อยู่ต่างสถานะ
2. ความเข้มข้นของสารตั้งต้น
  ความเข้มข้นมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา กล่าวคือ ถ้าสารตั้งต้นเจือจางปฏิกิริยาจะเกิดช้า แต่ถ้าสารตั้งต้นเข้มข้นขึ้นปฏิกิริยาจะเกิดรวดเร็วขึ้น เช่น ถ้าเทกรดที่เข้มข้นลงไปบนหินปูน จะมีฟองแก๊สเกิดขึ้นเร็วกว่าใช้กรดที่เจือจาง
  การเพิ่มความเข้มข้นทำให้ปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น เพราะการเพิ่มความเข้มข้น ทำให้จำนวนโมเลกุลเพิ่มมากขึ้น และจำนวนโมเลกุลที่มีพลังงานสูงก็มีเพิ่มขึ้น
3.พื้นที่ผิวของสารตั้งต้น
  พื้นที่ผิวมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา กล่าวคือ ถ้าสารตั้งต้นมีพื้นที่ผิวสัมผัสมากกว่าปฏิกิริยาจะเกิดได้เร็วกว่า เช่น เทกรดที่เข้มข้นเท่ากันลงบนหินปูนที่บดละเอียด จะเกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่าเมื่อใช้หินปูนชิ้นใหญ่ๆ
  การเพิ่มพื้นที่ผิวจะทำให้ปฏิกิริยาเกิดได้เร็วขึ้น แต่จะมีผลต่อปฏิกิริยาเนื้อผสมเท่านั้น

*ปฏิกิริยาเนื้อเดียวและเนื้อผสม 
ปฏิกิริยาเนื้อเดียว คือ ปฏิกิริยาที่สารตั้งต้นมีสถานะเดียวกัน
 ปฏิกิริยาเนื้อผสม คือ ปฏิกิริยาที่สารตั้งต้นมีสถานะต่างกัน

4.อุณหภูมิ
  อุณหภูมิมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา กล่าวคือ ถ้าอุณหภูมิ ร้อนขึ้น จะทำให้ปฏกิริยาเกิดเร็วขึ้น การเพิ่มอุณหภูมิทำให้ปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น เพราะ การเพิ่มอุณหภูมิทำให้โมเลกุลมีพลังงานจลน์สูงขึ้น โมเลกุลจึงวิ่งชนกันเร็วขึ้น แรงขึ้น

5.ตัวเร่งปฏิกิริยา และตัวหน่วงปฏิกิริยา
  บางปฏิกิริยาไม่สามารถเกิดปฏิกิริยาได้ในภาวะปกติ แต่ถ้าเติมตัวเร่งลงไปจะเกิดปฏิกิริยาได้
ตัวเร่ง(ตัวคะตะลิสต์)  ทำให้ปกิกิริยาเกิดเร็วขึ้น เพราะ
- ตัวเร่งทำใหโมเลกุลวิ่งชนถูกทิศทางมากขึ้น
- ตัวเร่งลดพลังงานกระตุ้น
ตัวหน่วง(ตัวขัดขวาง)  ทำให้ปฏิกิริยาเกิดช้าลง เพราะ
- ตัวหน่วงทำให้โมเลกุลวิ่งชนผิดทางมากขึ้น
- ตัวหน่วงเพิ่มพลังงานกระตุ้น

 *พลังงานกระตุ้นคือ พลังงานที่น้อยที่สุดที่สารตั้งต้นจำเป็นต้องมีเพื่อเกิดปฏิกิริยา
 - ปฏิกิริยาที่เกิดเร็ว แสดงว่า มีค่าพลังงานกระตุ้นต่ำ
 - ปฏิกิริยาที่เกิดช้า  แสดงว่า มีค่าพลังงานกระตุ้นสูง

 
กฎทรงมวลของสาร
     กฎทรงมวล กล่าวว่า มวลของสารก่อนทำปฏกิริยา เท่ากับ มวลของสารหลังทำปฏิกิริยา
 
ประเภทของปฏิกิริยาเคมี
1. ปฏิกิริยารวมตัว
  คือ ปฏิกิริยาที่เกิดจากสาร 2 ชนิดเข้ารวมตัวกันโดยตรง แล้วเกิดเป็นสารใหม่เพียงอย่างเดียว
2. ปฏิกิริยาแยกสลาย
  คือ ปฏิกิริยาที่เกิดจากสารโมเลกุลใหญ่แยกสลายให้สารโมเลกุลเล็กๆ
3.ปฏิกิริยาแทนที่
  คือ ปฏิกิริยาที่เกิดจากธาตุอย่างหนึ่งเข้าไปแทนที่ธาตุอีกอย่างหนึ่งในสารประกอบ

 
ปฏิกิริยาระหว่างกรด-เบส
 กรดสามารถทำปฏิกิริยากับเบสได้ ได้ผลคือ เกลือกับน้ำ ปฏิกิริยานี้เรียกว่า "ปฏิกิริยาสะเทิน"
 กรดสามารถทำปฏิกิริยากับโลหะได้แก๊สไฮโดรเจน
 เบสสามารถทำปฏิกิริยากับโลหะAl ได้แก๊ส ไฮโดรเจน
จากสมบัติของปฏิกิริยากรด-เบส ทำให้ทราบว่า
1. ไม่ควรใช้ภาชนะที่ทำด้วย Al ใส่สารที่เป็นกรดและเบส เพราะจะเกิดการผุกร่อน
2. ใช้กรด-เบส ทำความสะอาดห้องน้ำหรือเครื่องสุขภัณฑ์ได้
3. เหล็กในของแมลงต่างๆ จะมีสมบัติเป็นกรด เมื่อถูกแมลงพวกนี้ให้ใช้เบสอ่อนๆหรือผงฟูวึ่งมีสมบัติเป็นเบส เช็ดบริเวณที่ถูกแมลงต่อย
4. เมื่อรับประทานอาหารมากๆ กรดเกลือในกระเพาะอาหารจะหลั่งออกมา ทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ สามารถลดความเป็นกรดได้โดยรับประทานยาลดกรดซึ่งมีสมบัติเป็นเบส

 
การสึกกร่อนของโลหะ
 โลหะที่นำมาใช้ส่วนใหญ่จะเป็นโลหะที่มีการผุกร่อนได้ง่าย เมื่อ
1. โลหะสัมผัสกับสารที่มีสมบัติเป็นกรด
2.โลหะบางชนิด
 เช่น โซเดียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม ซึ่งเป็นโลหะที่อยู่ทางซ้ายของตารางธาตุ ว่องไวต่อปฏิกิริยา จึงทำปฏกิริยากับน้ำได้เบสและแก๊สไฮโดรเจน
3. การเกิดสนิมเหล็ก
 เมื่อโลหะทำปกกิริยากับออกซิเจน และน้ำ จะเกิดเป็นสารประกอบออกไซต์
  ออกไซต์บางชนิด เป็นสนิมและเกิดการผุกร่อนในที่สุด แต่ออกไซต์บางชนิด เคลือบที่ผิวหน้าของโลหะ จะแข็งติดอยู่กับโลหะไม่ทำให้โลหะสึกกร่อน สมบัติอันนี้เองทำให้นำมาใช้เคลือบผิวโลหะป้องกันการผุกร่อนของโลหะ
วิธีการป้องกันการเกิดสนิมหรือการผุกร่อนของโลหะ 
1. เช็ดให้แห้ง ไม่ให้ถูกน้ำและอากาศ เพราะในน้ำและอากาศมีแก๊สออกซิเจนอยู่
2. เคลือบผิวโลหะด้วยการทาน้ำมัน ชุบพลาสติก ชุบโลหะที่เกิดสนิมยาก

 
การสึกกร่อนของวัสดุคาร์บอเนต
 วัสดุคาร์บอเนต คือ วัสดุที่มีแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นองค์ประกอบซึ่งสามารถเกิดการสึกกร่อนได้
 
การเผาไหม้สารอินทรีย์
 สารอินทรีย์ คือ สารที่มีธาตุคาร์บอนเป็นองค์ประกอบสำคัญ มีปฏิกิริยาผเาไหม้ 2 แบบ คือ
1. ปฏิกิริยาการเผาไหม้สมบูรณ์ คือ การเผาไหม้ที่มีออกซิเจนเพียงพอ จะได้ผลิตภัณฑ์เป็นคาร์บอนไดออกไซต์และน้ำ
2. ปฏิกิริยาการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ คือ การเผาไหม้ที่ีมีออกซิเจนไม่เพียงพอ จะได้ผลิตภัณฑ์เป็นคาร์บอนไดออกไซตื,น้ำ,เขม่า และพลังงาน

ชนิดของเชื้อเพลิง  แบ่งเชื้อเพลิงตามลักษระการใช้งานเป็น 2 ชนิดดังนี้
1. เชื้อเพลิงที่ใช้แล้วหมดไป ไม่สามารถผลิตขึ้นมาชดเชยได้
ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียม
          แก๊สหุงต้ม
          น้ำมันเบนซิน
          น้ำมันก๊าด
          น้ำมันดีเซล
          น้ำมันเตา
          ลิกไนต์จากถ่านหิน
2. เชื้อเพลิงที่สามารถผลิตมาทดแทนได้ เนื่องจากน้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้แล้วหมดไป ไม่สามารถผลิตขึ้นมาชดเชยได้ มนุษยืจึงคิดน้ำมันที่จะนำมาทดแทนดังนี้
 - แก๊สโซฮอลื คือ น้ำมันเบนซิน 90% และแอลกอฮอล์ ประเทสไทยใช้แก๊สโซฮอล์แทนน้ำมันเบนซินที่มีเลขออกเทน 95 บางประเทศจะใช้แอลกอฮอล์มากกว่า 10%
 - น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันก๊าด ในรถยนต์ดีเซล

อ้างอิง http://writer.dek-d.com/funny00/story/viewlongc.php?id=1052176&chapter=4

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น